ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (immune system)
ระบบภูมิคุ้มกัน หรือ Immune system คือระบบที่คอยปกป้องร่างกายของเราจากสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่อาจเข้ามาทำอันตรายร่างกายเราได้ เช่น เชื้อโรคชนิดต่างๆ ได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต รา พยาธิ รวมถึงสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ เช่น เซลล์ที่กำลังเจริญเติบโตไปเป็นมะเร็ง อวัยวะของผู้อื่นที่ปลูกถ่ายเข้ามาในร่างกาย การได้รับเลือดผิดหมู่ สารก่อภูมิแพ้ ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีคุณสมบัติเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายยังไม่รู้จัก เรียกว่า antigen
ระบบภูมิคุ้มกันแบ่งเป็น 2 ระบบ
1. ภูมิคุ้มกันแบบไม่เฉพาะเจาะจงที่มีโดยธรรมชาติ
(native immunity หรือ natural resistance) เป็นภูมิคุ้มกันที่มีมาแต่กำเนิด กลไกการป้องกันแบ่งออกเป็น
1.1 ลักษณะป้องกันทางกายวิภาค (anatomical barrier) เช่น ผิวหนัง และเยื่อบุผิว
1.2 สารเคมีในร่างกาย (chemical factor) เช่น น้ำตา น้ำลาย สารคัดหลั่งจากเซลล์
เยื่อบุจมูก น้ำย่อย
1.3 การสะกดกลืนกิน (phagocytosis) เซลล์ที่ทำหน้าที่ ได้แก่ neutrophil,
monocyte, macrophage เป็นต้น
1.4 ระบบคอมพลีเมนต์ (complement system) คือกลุ่มของโปรตีนในซีรั่มมากกว่า
20 ชนิด ที่ในภาวะปกติจะอยู่ในรูป inactive form แต่เมื่อถูกกระตุ้นจาก antigen-antibody
complex หรือ immune complex จะทำให้เกิดการกระตุ้นเชื่อมโยงต่อๆ ไป และ products ที่เกิด
ขึ้นจับเป็นคอมเพล็กซ์ที่เมมเบรนและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่กลับคืนไม่ได้ของเมมเบรนทั้ง
หน้าที่และรูปร่าง ทำให้เซลล์เกิดการแตกสลาย นอกจากนั้น biological products ที่เกิดขึ้นจะมีผล
ให้เกิดปฏิกิริยาต่างๆ ตามมามากมาย เช่น inflammation, anaphylaxis
2. ภูมิคุ้มกันแบบเฉพาะเจาะจง (specific acquired immunity)
จะแบ่งวิธีการตอบสนองออกเป็น 2 ระบบใหญ่ คือ
- humoral immune response (HIR) คือกระแสเลือดและกระแสน้ำทั่วร่างกาย โดย
อาศัยการสร้าง antibody (Ab) จาก B-lymphocyte ซึ่งมีกำเนิดจากไขกระดูก ในตอนแรกจะอยู่ใน
รูป pre-B-cell จากนั้นย้ายไปที่ lymphoid tissue เพื่อพัฒนาเป็น B-lymphocyte ที่เจริญเต็มที่จึง
ถูกปล่อยออกมาสู่กระแสเลือดและไปตาม lymphoid tissue ต่างๆ เข้าสู่กระแสน้ำเหลืองทั่วร่างกาย
เพื่อทำหน้าที่ เมื่อมี immunogen เข้ามาและทำการตอบสนองก็จะเปลี่ยนแปลงไปเป็น blast cell
และ plasma cell ตามลำดับเพื่อทำหน้าที่สร้าง antibody ที่จำเพาะต่อ immunogen แต่ละชนิด
- cell-mediated immune response (CMIR) คือด้านพึ่งเซลล์ เซลล์ที่ทำหน้าที่ใน
การตอบสนองนี้คือ T lymphocyte ซึ่งต้นกำเนิดก็มาจากไขกระดูกเช่นเดียวกับ B lymphocyte โดย
ในตอนแรกจะเป็น pre-T-cell จากนั้นจึงพัฒนาผ่านทาง thymus gland มาเป็น T-cell ที่สมบูรณ์
นอกจากนี้การตอบสนองอาจเกิดจากปฏิกิริยาของ mediators ที่ปล่อยออกมา (lymphokines) หรือ
ร่วมกับเซลล์อื่นๆ เช่น killer cell (K cell), natural killer cell (NK cell), macrophage
ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
• granulocytopenia คือจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด granulocyte ลดน้อยลง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ได้รับยาที่กดการสร้างเม็ดเลือดขาว เช่น ยาต้านมะเร็ง หรือผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสีซึ่งกดการทำงานของไขกระดูก เป็นเหตุให้ขาดเซลล์ที่ทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรค จึงติดเชื้อแบคทีเรียได้โดยง่าย
• มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ ทำให้เม็ดเลือดขาวเสียหน้าที่ในระบบภูมิคุ้มกัน
• ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่
1.บกพร่องที่ HI เป็นเหตุให้ติดเชื้อโรคง่าย
2.บกพร่องที่ CMI เป็นเหตุให้ติดเชื้อชนิดต่างๆ โดยเฉพาะเชื้อที่อยู่ในเซลล์ ได้แก่ไวรัส (เชื้อไวรัสเป็นเชื้อที่ต้องอาศัยเซลล์ในการเพิ่มจำนวน) เชื้อรา โปรโตซัว แบคทีเรียบางชนิด เช่น วัณโรค ส่วนใหญ่เป็นเชื้อที่ไม่ค่อยก่อโรคในคนปกติ โรคที่เรารู้จักกันดีคือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เอดส์) หรือ Acquired Immune Deficiency Syndrome (AIDS) นั่นเอง
• ภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตนเอง เรียกว่า autoimmune disease เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันจำเซลล์ในร่ายกายไม่ได้ เข้าใจว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม จึงสร้างภูมิต้านทานต่อเซลล์เหล่านั้นของร่างกายของตนเอง เกิดโรคต่างๆ มากมาย ขึ้นอยู่กับว่าเป็นภูมิต้านทานต่อเซลล์ชนิดใด เช่น โรค systemic lupus erythematosus (SLE) หรือที่เรารู้จักกันดีว่าโรคพุ่มพวง (ภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อหลายชนิดในร่างกาย) autoimmune hemolytic anemia (AIHA) (เม็ดเลือดแดงแตกจากภูมิต้านทานเม็ดเลือดแดง) idiopathic thrombocytopenic purpura (ITP) (เกล็ดเลือดถูกทำลายจากภูมิต้านทานเกล็ดเลือด) รูมาตอยด์ (ภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อรอบข้อ เป็นเหตุให้ข้ออักเสบเรื้อรัง)
• ภูมิไวเกิน ได้แก่ โรคภูมิแพ้ชนิดต่างๆ เกิดจากภูมิคุ้มกันตอบสนองไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้
นอกจากนี้ยังพบภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ (ไม่ถึงขั้นบกพร่อง) ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวานโดยเฉพาะผู้ที่คุมระดับกลูโคสในเลือดได้ไม่ดี ผู้ป่วยตับแข็ง ไตวายเรื้อรัง โลหิตจาง ขาดอาหาร ผู้ป่วยที่ได้รับยากลุ่ม steroid ซึ่งมีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันเป็นเวลานาน ที่พบบ่อยคือผู้ที่กินยาชุด สมุนไพรบางชนิด ยาลูกกลอน ซึ่งผู้ผลิตมักผสม steroid ลงไปในยาเหล่านี้
ร่างกายมีกระบวนการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกาย และต่อสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกายเองภูมิคุ้มกันมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากภูมิคุ้มกันต่ำเกินไปอาจทำให้เกิดโรคต่างๆได้ง่าย ในกรณีที่ภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อแอนติเจนที่ไม่เป็นอันตราย ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะผิดปกติ ดังกรณีภูมิแพ้ (allergy) หรือโรคที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานเนื้อเยื่อของตนเอง เช่น โรคเอส-แอลอี (systemic lupus erythematosus) เป็นต้น
ภาวะภูมิแพ้ เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาต่อแอนติเจนบางอย่าง เช่น มีปฏิกิริยาต่อสารเคมี
ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ สารจากสัตว์ทะเล เป็นต้น อาการแพ้อาจไม่รุนแรงมาก แต่จะมีอาการต่อเนื่อง ภูมิแพ้สามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เช่น เมื่อแพ้แอนติเจนที่พบในอาหารบางชนิด ก็ไม่ควรรับประทานอาหารชนิดนั้น หรือหากแพ้ฝุ่นก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น เป็นต้น มีรายงานทางการแพทย์ว่าภาวะภูมิแพ้อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรมด้วย

โรคที่มีผลทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายอย่างรุนแรง คือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ (AIDS) ย่อมาจาก acquired immune deficiency syndromeเป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิด HIV (human immunodeficiency virus) เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อ HIV การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันจะเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยที่มีผลต่อการเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย
1. ปัจจัยทางพันธุกรรม การตอบสนองทางระบบภูมิคุ้มกันอยู่ภายใต้การควบคุมของยีนในกลุ่ม histocompatibility antigens
2. อายุ เด็กเล็กและผู้สูงอายุมีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันด้อยกว่าคนหนุ่มสาว จึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่าย
3. ปัจจัยทางเมแทโบลิก ฮอร์โมนบางชนิดเช่นสเตียรอย์มีฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการกินสิ่งแปลกปลอมของเม็ดเลือดขาว ลดการสร้างแอนติบอดี คนที่กินยาในกลุ่มสเตียรอยด์จึงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง
4. ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม คนที่มีเศรษฐานะยากจนจะมีอัตราการเกิดโรคต่างๆสูงกว่าคนที่มีความเป็นอยู่ดี ทั้งนี้เนื่องจากสาเหตุหลายประการรวมทั้งการขาดสารอาหาร
5. ลักษณะทางกายวิภาค ความผิดปกติของผิวหนังและเยื่อบุ เช่น ผิวหนังมีแผลพุพองอักเสบ แผลไฟไหม้ จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่าย
6. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเชื้อจุลชีพ จุลชีพประจำถิ่น (normal flora) ที่อาศัยอยู่ในลำไส้จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลชีพก่อโรค ถ้าเชื้อจุลชีพประจำถิ่นถูกทำลาย เช่นได้รับยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่อง เชื้อจุลชีพก่อโรคจะทวีจำนวนขึ้นก่อให้เกิดโรคได้
7. ลักษณะทางสรีระ ตัวอย่างเช่น ความเป็นกรดของน้ำย่อยในกะเพาะอาหาร ขนอ่อน (cilia) ที่คอยโบกพัดบริเวณผิวเยื่อบุหลอดลม การไหลของน้ำปัสสาวะ ถ้าสิ่งที่กล่าวมาผิดปกติ เชื้อจุลชีพจะเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
วิธีกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
1) การออกกำลังกาย จะเพิ่มการหมุนเวียนของเลือดทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวถูกหมุนเวียนไปยังเซลล์ทั่งร่างกาย และทำให้มีความสามารถในการเก็บกินสิ่งแปลกปลอมได้ดียิ่งขึ้น
2) นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-9 ชั่วโมง การนอนหลับทำให้ร่างกายได้ผ่อนคลายความเครียด และความกังวลทำให้ร่างกายหลั่งสาร Adrenalin และขณะหลับร่างกายจะผลิตฮอร์โมนMelatonin ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ได้
3) รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ และควรเป็นอาหารที่สดที่ไม่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง เช่น ถั่ว ผัก และผลไม้ ซึ่งมีวิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ อยู่มากมาย เช่น วิตามินเอ บี ซี และสังกะสี ซีลีเนียม ธาตุเหล็ก ฯลฯ ซึ่งช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
4) สูดอากาศบริสุทธิ์ทุกวัน เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเป็นอาหาร ถ้าเราขาดออกซิเจนเพียงไม่กี่นาทีเซลล์ก็จะตายได้
5) ควรให้ร่างกายได้โดนแสงแดดยามเช้าทุกวัน ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ 06.30 — 09.00 น. ร่างกายต้องการรังสีจากแสงอาทิตย์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกระบวนการทำงานของระบบสารเคมีสารเคมีในร่างกายที่จะส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และสร้างวิตามินดี - ที่ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง ซึ่งจะทำให้ทำให้ร่างกายแข็งแรงโดยรวม ควรให้ร่างกายถูกแดดวันละ 30 นาทีในช่วงเวลาดังกล่าว
6) ดื่มน้ำสะอาดวันละ 6 — 8 แก้ว
7) พยายามทำให้อารมณ์แจ่มใสอยู่เสมอ อย่าเครียด อารมณ์และจิตใจส่งผลโดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ถ้าเครียดก็จะทำให้ระบบทำงานได้น้อยลงกว่าปกติ
วิธีป้องกันและดูแลรักษาสุขภาพ
๑. ต้องหวีผมบ่อย ๆ
อาจใช้นิ้วทั้ง ๑๐ หรือหวี ทำการหวีผมบ่อย ๆ จะช่วยทำให้ตาสว่าง ทำให้รากผมแข็งแรง
๒. ต้องถูใบหน้าบ่อย ๆ
ใช่ฝ่ามือ ๒ ข้างถูหน้าบ่อย ๆ ให้เลือดมาเลี้ยงใบหน้า ทำให้ใบหน้าเปล่งปลั่ง ลบริ้วรอยเหี่ยวย่น
๓. ต้องเคลื่อนไหวดวงตาบ่อย ๆ
บริเวณดวงตา เคลื่อนไหว มองไกล-มองใกล้ มองข้าง มองเข้าใน มองบน มองล่าง
๔. ต้องดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูบ่อย ๆ
เป็นการกระตุ้นการไหลเวียเลือดบริเวณใบหู ช่วยป้องกันการเกิดเสียงดังในหู หูตึง เวียนศีรษะ รวมทั้งเป็นการบำรุงตานเถียน ตำแหน่งที่เก็บพลังของร่างกายใต้สะดือ สัมพันธ์กับไตซึ่งเปิดทวารที่หู
๕. ต้องหมั่นขบฟันเสมอ
ขบเบา ๆ วันละหลายสิบครั้ง ช่วยทำให้ฟันแข็งแรง กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย
๖. ดันเพดานปากด้านบนด้วยลิ้นบ่อย ๆ
การใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้า เป็นการกระตุ้นจะดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลังของเส้นลมปราณตู๋และเยิ่น (ซึ่งเป็นเส้นลมปราณควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าของร่างกาย) และเป็นการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ น้ำลาย
๗. ต้องกลืนน้ำลายบ่อย ๆ
ควรฝึกกลืนน้ำลายบ่อย ๆ นอกจากเป็นการเคลื่อนไหวพลังบริเวณคอหอย แล้วยังช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารด้วย
๘. ของเสียต้องหมั่นขับทิ้ง
อุจจาระ และปัสสาวะ ต้องหมั่นขับทิ้ง ไม่ควรเก็บสะสมไว้ในร่างกายนานเกินไป เพราะจะทำให้เกิดโรคของลำไส้ และโรคทางเดินปัสสวะ (การตกค้างของของเสียสัมพันธ์กับการดูดซึมสารพิษกลับสู่ร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายระบบรวมถึงมะเร็ง)
๙. ต้องถูหรือนวดท้องบ่อย ๆ
ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกา ช่วยทำให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น ลดไขมันหน้าท้อง เสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อหน้าท้อง ป้องกันกระเพาะอาหารหย่อนยาน
๑๐. ขมิบก้นบ่อย ๆ
แต่ละวันควรจะต้องขมิบก้นวันละหลายครั้ง สามารถทำได้ทุกเวลา แม้ขณะทำงาน ยืน นั่ง นอน เป็นการป้องกันริดสีดวงทวารและป้องกันอาการท้องผูกได้
“ร่างกายคนถ้าอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ โดยไม่เคลื่อนไหว หรืออยู่ในท่าที่ข้อใดข้อหนึ่งหยุดนิ่งนาน ๆ จะทำให้เกิดโรคได้ง่าย”
๑๑. ต้องเคลื่อนไหวข้อทุกข้อ
ร่างกายคนถ้าอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ โดยไม่เคลื่อนไหว หรืออยู่ในท่าที่ข้อใดข้อหนึ่งหยุดนิ่งนาน ๆ จะทำให้เกิดโรคได้ง่าย เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อผิดปกติ ขาดความยึดหยุ่น ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย จึงต้องสร้างสมดุลของกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ตรงข้ามกันโดยการเคลื่อนไหวข้อต่าง ๆ (โบราณใช้วิชาชี่กง ฝึกไท้เก้ก หรือฝึกโยคะ นั่นเอง)
๑๒. ถูผิวหนังบ่อย ๆ
ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (เหมือนกับถูตัวเวลาอาบน้ำ) ช่วยทำให้เลือดและพลังไหลเวียนกล้ามเนื้อ ผิวหนัง มีความยึดหยุ่น มีความเปล่งปลั่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น